วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เซลล์ไฟฟ้าเคมี

เซลล์ไฟฟ้าเคมี
          เซลล์ไฟฟ้าเคมี คือ อุปกรณ์ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี เป็นการ เปลี่ยนพลังงานเคมีให้เป็นพลังงานไฟฟ้า
เซลล์ไฟฟ้าเคมี แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
    • เซลล์ปฐมภูมิ ( Primary Cell) เมื่อใช้แล้วสารเคมีจะหมดไป และเมื่อใช้กระแสไฟฟ้า
หมดแล้ว ไม่สามารถนำไปประจุไฟฟ้าเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก เช่น ถ่านไฟฉาย เซลล์แอลคาไล เซลล์ปรอท เซลล์เงิน
    • เซลล์ทุติยภูมิ ( Secondary Cell) เมื่อใช้กระแสไฟฟ้าหมดแล้ว สามารถนำไปประจุ
ไฟฟ้าเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก เช่น เซลล์สะสมไฟฟ้าแบบตะกั่ว เซลล์ไฟฟ้าแบบนิกเกิล - แคดเมียม ( นิกแคด )
            เซลล์ไฟฟ้าเคมีมีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ
           1. ขั้วไฟฟ้า เป็นขั้วโลหะ 2 ชนิด ที่เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีแล้วสามารถให้และรับอิเล็กตรอน ได้ต่างกัน โดยขั้วหนึ่งจะให้อิเล็กตรอนได้ดีกว่าทำหน้าที่เป็นขั้วลบ และขั้วที่รับอิเล็กตรอนได้ดีกว่าจะทำหน้าที่เป็นขั้วบวก
          2. สารละลายอิเล็กโตรไลต์ เป็นสารละลายที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ เช่น สารละลายกรดซัลฟิวริกเจือจาง
หลักการเซลล์ไฟฟ้าเคมี
          หลักการของเซลล์ไฟฟ้าเคมี คือ เมื่อนำแผ่นสังกะสีและแผ่นทองแดงจุ่มลงในสารละลายกรดซัลฟิวริกเจือจางสังกะสีและทองแดงจะแตกตัวเป็นอิออน (ธาตุหรือหมู่ธาตุที่มีประจุไฟฟ้า) โดยที่สังกะสีสามารถแตกตัวและให้อิเล็กตรอนได้ดีกว่าทองแดงจึงมีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า (ทำหน้าที่เป็นขั้วลบ)
         ส่วนทองแดง ซึ่งสามารถแตกตัวและให้อิเล็กตรอนได้น้อยกว่าจึงมีศักย์ไฟฟ้าสูงกว่า (ทำหน้าที่เป็นขั้วบวก)เมื่อศักย์ไฟฟ้าของทั้งสองขั้วต่างกัน อิเล็กตรอนจึงไหลจากขั้วที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำไปยังขั้วที่มีศักย์ไฟฟ้าสูง นั่นคือ จากภาพอิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่จากขั้วสังกะสีผ่านเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าไปยังขั้วทองแดง เกิดเป็นกระแสอิเล็กตรอนขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นกระแสสมมติ ไหลจากขั้วทองแดงไปยังขั้วสังกะสี หรือจากขั้วบวกไปยังขั้วลบ
          อิเล็กตรอนหรือประจุลบจากแผ่นสังกะสีจะเคลื่อนที่ไปยังแผ่นทองแดง จนกระทั่งศักย์ไฟฟ้า ของขั้วทั้งสองเท่ากัน หรือไม่มีความต่างศักย์ อิเล็กตรอนจึงจะหยุดเคลื่อนที่ แต่ที่อิเล็กตรอนยังคงไหลอยู่เรื่อยๆ เนื่องจาก ไฮโดรเจนอิออน ( H+) ใน สารละลายอิเล็กโตรไลต์ ซึ่งมีประจุบวกจะมารับอิเล็กตรอนที่ขั้วทองแดง เกิดเป็นก๊าซไฮโดรเจน (H2 ) อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ประจุลบที่ขั้วทองแดงน้อยกว่าขั้วสังกะสีอยู่เสมอ ส่วนขั้วสังกะสีจะสึกกร่อนไปเรื่อยๆ เพราะจะต้องแตกตัวและให้อิเล็กตรอนกับขั้วทองแดงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
สรุปการเกิดปฏิกิริยาในเซลล์ไฟฟ้าเคมีได้ดังนี้
          เซลล์ไฟฟ้าเคมีที่ใช้แผ่นโลหะสังกะสีและแผ่นโลหะทองแดงจุ่มลงในสารละลายกรดซัลฟิวริก มีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น ดังนี้
.           ปฏิกิริยาที่แผ่นสังกะสี คือ ......... Zn(s) ----> Zn 2+(aq) + 2e -
            ปฏิกิริยาที่แผ่นทองแดง คือ......... 2H +(aq) + 2e - ----> H 2(g)
           ดังนั้นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในเซลล์ไฟฟ้าเคมีชนิดนี้ คือ ......... Zn(s)+2H +(aq) ----> Zn 2+(aq) + H 2(g)

ถ่านไฟฉาย
        ถ่านไฟฉาย เป็นเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่ไม่ใช้สารละลายที่เป็นของเหลว จึงเรียกว่า เซลล์แห้ง ( Dry cell) ผู้ที่สร้างเซลล์ไฟฟ้าเคมีชนิดนี้คือ เลอคังเช ดังนั้นจึงอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เซลล์เลอคังเช ถ่านไฟฉาย 1 ก้อน หรือ 1 เซลล์มีความต่างศักย์ประมาณ 1.5 โวลต์
ส่วนประกอบของถ่านไฟฉายและทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสอิเล็กตรอน
         ถ่านไฟฉายเมื่อใช้ไปนาน ๆ ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดน้อยลง ( ความต่างศักย์ลดลง ) เนื่องจากสารเคมีที่ใช้ทำปฏิกิริยาเคมีเหลือน้อยลง ขณะเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีน้ำเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อใช้งานไปนาน ๆ ถ่านไฟฉายจะบวม เยิ้ม เปียก แสดงว่า ถ่านเสื่อมสภาพ ควรเลิกใช้ เพราะมีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แมงกานีสไดออกไซด์ ( MnO 2)เป็นสารที่มีอันตรายถ้าเข้าสู่ร่างกายจะไปทำลายระบบประสาทของร่างกาย
ส่วนประกอบต่างๆ ของถ่านไฟฉายนี้
  • แท่งคาร์บอนหรือแท่งถ่าน ทำหน้าที่เป็นขั้วบวก
  • แอมโมเนียมคลอไรด์ ทำหน้าที่เป็นสารละลายอิเล็กโตรไลต์
  • แมงกานีสไดออกไซด์ + ผงถ่าน + กาวที่อัดกันแน่น
  • กล่องสังกะสี ทำหน้าที่เป็นขั้วลบ
          เมื่อต่อถ่านไฟฉายเข้ากับวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะไหลจากขั้วบวก (แท่งคาร์บอน) ของ ถ่านไฟฉาย ผ่านวงจรไฟฟ้าแล้วกลับมายังขั้วลบ (กล่องสังกะสี) โดยมีแอมโมเนียมคลอไรด์ทำหน้าที่ เป็นสารละลายอิเล็กโตรไลต์ 1 ซึ่งช่วยให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ มีผงถ่านช่วยนำไฟฟ้า และแมงกานีสไดออกไซด์ช่วยทำให้ความต่างศักย์ของเซลล์คงตัว แต่เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ ความต่างศักย์ระหว่างขั้วเซลล์จะค่อยๆ ลดลงจนไม่มีความต่างศักย์หรือมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากันในที่สุด จึงทำให้ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลและใช้ต่อไปอีกไม่ได้ หรือที่เราเรียกว่าถ่านหมดนั่นเอง จากที่ผ่านมาจะเห็นว่าถ่านไฟฉายสามารถเปลี่ยนพลังงานเคมีที่สะสมอยู่ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าออกมาได้
แบตเตอรี่
           แบตเตอรี่ เป็นคำเรียกทั่ว ๆ ไป ใช้เรียกเซลล์ไฟฟ้าที่นำมาต่อกันแบบอนุกรมตั้งแต่ 2 เซลล์ขึ้น ไป เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ได้จากการนำเซลล์สะสมไฟฟ้าแบบตะกั่วซึ่งมีความต่างศักย์เซลล์ละ 2 โวลต์ มาต่อกันแบบอนุกรม 6 เซลล์
ได้ความต่างศักย์รวม = 6 x 2 = 12 โวลต์

แบตเตอรี่แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. แบตเตอรี่แห้ง คือ การนำเอาเซลล์แห้งหรือถ่านไฟฉายตั้งแต่ 2 เซลล์ ขึ้นไปมาเรียง ต่อกันแบบอนุกรม เช่น ถ่านไฟฉายที่ใส่ในวิทยุ หรือของเล่นต่างๆ
2. แบตเตอรี่เปียก จัดเป็นเซลล์ไฟฟ้าแบบทุติยภูมิประกอบด้วยเซลล์ไฟฟ้าหลายๆ เซลล์ มาต่อกัน มีความต่างศักย์ประมาณ 12 โวลต์ ภายในจะมีแผ่นตะกั่ว และแผ่นตะกั่วออกไซด์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นขั้วลบและขั้วบวกตามลำดับ วางเรียงสลับกันแช่อยู่ในสารละลายกรดซัลฟิวริกเจือจาง แบตเตอรี่แบบนี้ ได้แก่ แบตเตอรี่รถยนต์
.........

เซลล์สะสมไฟฟ้าแบบตะกั่ว ( Lead Storage Cell)
           ส่วนประกอบ ได้แก่ แผ่นตะกั่ว แผ่นตะกั่วออกไซต์สารละลายกรดซัลฟิวริก ให้ความต่างศักย์ 2 โวลต์ กระแสไฟฟ้าจะไหลจากแผ่นตะกั่วออกไซด์
ไปยังแผ่นตะกั่ว เมื่อใช้ไปนาน ๆ จะเกิดตะกั่วซัลเฟต ( PbSo 4) จับที่ขั้วทั้งสอง ทำให้ไม่เกิดความต่างศักย์กระแสไฟฟ้าจึงหยุดไหล แต่สามารถนำไป
ประจุไฟฟ้าใหม่ ก็จะได้ตะกั่ว ตะกั่วออกไซต์ และกรดซัลฟิวริก ซึ่งนำมาใช้ได้อีก การประจุไฟฟ้าให้ต่อขั้วลบเข้ากับขั้วลบ ขั้วบวกเข้ากับขั้วบวก
สารตะกั่วมีอันตราย เพราะไปทำลายเม็ดโลหิตแดงและระบบประสาทของร่างกาย ดังนั้นจึงต้องระวังทั้งในกระบวนการผลิต การใช้ และไม่ควรนำไปทิ้ง
ในที่สาธารณะ
กระแสไฟฟ้า เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระ กระแสไฟฟ้าแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
  • ไฟฟ้ากระแสตรง ( Direct current: D.C. ) เป็นกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านวงจรไปในทิศทาง เดียว จากขั้วบวกไปยังขั้วลบตลอดเวลา เช่น
    กระแสไฟฟ้าจากถ่านไฟฉาย และจากแบตเตอรี่
  • ไฟฟ้ากระแสสลับ ( Alternating current: A.C. ) เป็นกระแสไฟฟ้าที่ไหลกลับไปกลับมาจาก ขั้วบวกไปขั้วลบและจากขั้วลบไปขั้วบวกสลับ
    กันเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เช่น กระแสไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านเรือน
           ไดนาโมเป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานกลให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยอาศัยหลักการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าเราสามารถทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ
ขึ้นได้โดยเอาขดลวดหมุนตัดกับสนามแม่เหล็กหรือหมุนสนามแม่เหล็กตัดกับขดลวด
          กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ คือ กระแสไฟฟ้าที่เกิดจาการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กใน ขดลวดตัวนำ
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
.ซลล์ไฟฟ้าเคมเครื่องกลไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบ่งตาม
กระแสไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ
1. เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง ( DC Generator)
2. เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ ( AC Generator)
 หลักการกำเนิดแรงเคลื่อนไฟฟ้า มี 2 วิธี
1. หลักการขดลวดตัดผ่านสนามแม่เหล็ก
               
          หลักการกำเนิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าโดยวิธีการของขดลวดตัดผ่านสนามแม่เหล็กมีหลักการดังนี้ให้ขั้วแม่เหล็กอยู่กับที่แล้วนำขดลวดตัวนำมาวาง
ระหว่างขั้วแม่เหล็กแล้วหาพลังงานมาหมุนขดลวดตัดผ่านสนามแม่เหล็กทำให้ได้แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำเกิดขึ้นที่ขดลวดตัวนำนี้
2. หลักการสนามแม่เหล็กตัดผ่านขดลวด
        หลักการกำเนิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าโดยวิธีการของสนามแม่เหล็กตัดผ่านขดลวดหลักการ ดังนี้ให้ขดลวดลวดตัวนำอยู่กับที่แล้วหาพลังงาน
กลมาขับให้สนามแม่เหล็กตัดผ่านขดลวดตัวนำทำให้ได้แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวเกิดขึ้นที่ขดลวดตัวนำนี้
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า อาศัยหลักการขดลวดตัวนำหมุนตัดสนามแม่เหล็กขดลวดตัวนำที่
         สร้างแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำนี้เรียกว่า ขดลวดอาร์เมเจอร์( armature) 1 ซึ่งวางอยู่ระหว่างขั้วแม่เหล็กและสามารถหมุนได
้โดยมีต้นกำลังงานกลมาขับ เมื่อขดลวดนี้ตัดผ่านสนามแม่เหล็กทำให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสสลับเกิดขึ้นในขดลวดอาร์เมเจอร์
1.เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
          เมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสสลับไหลมาถึงซี่คอมมิวเตเตอร์(commutator)ไฟฟ้ากระแสสลับนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง
และไหลออกสู่วงจรภายนอกโดยผ่านแปรงถ่าน( brushes)
2. เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ
          .เมื่อแรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสสลับไหลมาถึงวงแหวนลื่น( slip ring) แรงเคลื่อนไฟฟ้ากระแสสลับ นี้ไหลออกสู่วงจรภายนอกโดยผ่านแปรงถ่าน( brushes)
          ถ้าเราลองทำการทดลองดังภาพที่ 15.21 ก. คือ นำขดลวดตัวนำที่พันรอบแกนพลาสติกมาต่อเข้ากับกัลป์วานอมิเตอร์ (เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าอย่างง่าย)
และนำแท่งแม่เหล็กอันหนึ่ง เคลื่อนที่เข้าหาและออกจากแกนขดลวดอย่างรวดเร็ว โดยให้แกนขดลวดอยู่นิ่ง เราจะเห็นว่าเข็มของกัลป์วานอมิเตอร์
จะกระดิกกลับไปกลับมา ซึ่งแสดงว่าขณะนั้นมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านในขดลวดตัวนำและเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ และถ้าเราลองให้แท่งแม่เหล็กอยู่นิ่งๆ
แต่เคลื่อนที่แกนขดลวดเข้าและออกแทน ผลที่ได้ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน คือ เข็มของกัลป์วานอมิเตอร์จะกระดิกไปมา แสดงว่ามีไฟฟ้ากระแสสลับไหลผ่าน
เช่นกัน
          การเคลื่อนที่แกนขดลวดเข้าและออกจากแท่งแม่เหล็กหรือการเคลื่อนที่แท่งแม่เหล็กเข้าและออกจากแกนขดลวดนั้นเป็นการทำให้สนามแม่เหล็ก
ในขดลวดเกิดการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงนี้จะเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลในขดลวด แต่ถ้าเราไม่ได้เคลื่อนที่ทั้งแกนขดลวดและ
แท่งแม่เหล็ก เข็มของกัลวานอมิเตอร์ก็จะไม่กระดิก เพราะสนามแม่เหล็กในขดลวดขณะนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ
        หลักการดังกล่าวข้างต้นนี้ไมเคิล ฟาราเดย์ เป็นผู้ค้นพบในปี พ.ศ. 2374 แล้วเขายังพบว่าถ้าเคลื่อนที่แท่งแม่เหล็กเข้าหรือออกจากขดลวดอย่างรวดเร็ว
จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลในขดลวดได้มากกว่าการเคลื่อนที่แท่งแม่เหล็กอย่างช้าๆ
        จากการเปลี่ยนพลังงานกลให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ของไดนาโมนี้เอง เราจึงใช้พลังงานความร้อนจากแหล่งต่างๆ เช่น พลังงานจาการเผาไหม้เชื้อเพลิง
พลังงานนิวเคลียร์ และพลังงานความร้อนใต้พิภพมาต้นน้ำให้เดือด เพื่อทำให้เกิดไอน้ำมาหมุนไดนาโมแล้วผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าออกมา
ไดนาโมมี 2 ชนิด คือ ไดนาโมกระแสตรงและไดนาโมกระแสสลับ มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ
  • ขั้วแม่เหล็ก 2 ขั้ว คือ ขั้วเหนือและขั้วใต้ ซึ่งทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก
  • ขดลวดเป็นขดลวดตัวนำที่พันรอบแกนเหล็กอ่อน ซึ่งเรียกว่า ขดลวดอาร์เมเจอร์ใช้สำหรับหมุนตัดกับสนามแม่เหล็ก
  • วงแหวนลื่นหรือวงแหวนแยก และแปรงถ่าน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับวงจรภายนอก
        ไดนาโมกระแสสลับ เป็นไดนาโมที่ผลิตไฟฟ้ากระแสสลับออกมาใช้งาน ปลายทั้งสองของขดลวดจะเชื่อมต่อกับวงแหวนลื่นแต่ละอัน
เมื่อหมุนขดลวดวงแหวนทั้งสองก็จะหมุนตามไปด้วยโดยแตะอยู่กับแปรงตลอดเวลา เมื่อขดลวดเคลื่อนที่ตัดกับสนามแม่เหล็ก (หมุน)
ก็จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้น ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่เกิดจะไหลเข้าและออกจากปลายขดลวดแต่ละด้านกลับไปกลับมาทำให้เกิดไฟฟ้ากระแสสลับ
         ไดนาโมกระแสตรง เป็นไดนาโมที่ผลิตไฟฟ้ากระแสตรงออกมาใช้งาน โดยที่ปลายทั้งสองของขดลวดจะเชื่อมต่อกับแต่ละด้านของวงแหวนผ่าซีก
ซึ่งทำให้กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่เกิดขึ้นเมื่อขดลวดหมุนมีทิศทางการไหลไปในทางเดียวตลอดเวลา ดังนั้นกระแสไฟฟ้าที่ได้จึงเป็นไฟฟ้ากระแสตรง
สรุปส่วนสำคัญ
          ความต่างศักย์ หมายถึง ความแตกต่างของระดับแรงดันไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุด ที่สามารถดันให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ ความต่างศักย์ทีหน่วยเป็นโวลต์ เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ V
         กระแสไฟฟ้าจะไหลจากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า และจะหยุดไหลเมื่อจุด 2 จุด มีศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน ซึ่งเปรียบได้กับกระแสน้ำซึ่งไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำและจะหยุดไหลเมื่อน้ำมีระดับเท่ากัน
           ในเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่ใช้แผ่นสังกะสีและแผ่นทองแดงจุ่มในสารละลายกรดซัลฟิวริกเราทราบได้ว่ามีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นจาการสังเกตเห็นแผ่นสังกะสีสีกกร่อนและ
เปลี่ยนเป็นสีดำ และมีฟองก๊าซเกิดขึ้นบริเวณแผ่นทองแดง
          หม้อสะสมไฟฟ้า คือ เซลล์ไฟฟ้าที่สามารถเก็บสะสมพลังงานเอาไว้ได้ และเมื่อใช้หมดแล้วก็สามารถนำไปประจะไฟแล้วนำกลับมาใช้ได้อีกหลายๆ ครั้ง การสะสมพลังงานในหม้อสะสมไฟฟ้าจะเป็นการสะสมพลังงานเคมีไม่ใช่พลังงานไฟฟ้า แต่จะเปลี่ยนจากพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้าเมื่อมีการจ่ายไฟ และในระหว่างการประจุไฟ (ชาร์จ) เราจะต้องให้พลังงานไฟฟ้าแก่หม้อสะสมไฟฟ้า ซึ่งภายในจะเกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้นเป็นการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้กลับไปเป็นพลังงานเคมีอีกครั้งหนึ่งเซลล์ไฟฟ้าแบบนี้ ได้แก่ แบตเตอรี่รถยนต์และถ่านไฟฉายแบบนิกเกิลแคดเมียม
การเพิ่มกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ คือ การทำให้สนามแม่เหล็กที่ผ่านขดลวดมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นซึ่งอาจทำได้ดังนี้
1. เพิ่มจำนวนรอบของขดลวดตัวนำที่พันรอบแกน
2. ใช้แท่งแม่เหล็กที่มีความเข้มของสนามแม่เหล็กมากขึ้น